โครงสร้างประโยค Sentence Structure
ประโยค simple sentence คือประโยคที่มีโครงสร้างอย่างง่าย
มี clause อิสระหรือ independent clause อันเดียว เช่น
· The
student is working hard.
· She
confessed her crime to the police.
2. Compound sentence
Compound sentence คือ
ประโยคที่มีตั้งแต่สอง independent clauses (ซึ่งเป็น simple
sentences) ขึ้นไป และแต่ละ clause แยกออกมาเขียนเป็น simple
sentence ได้ ในประโยคcompound sentence ไม่มี dependent
clauses คำ conjunctions ที่ใช้เชื่อม
ได้แก่ and, but, or, so, for
1. You may discuss this report
with your colleagues first, but our CEO will finally finalize it.
2. The bus stopped at the bus
terminal and all the passengers got out of it.
3. Complex sentence
Complex sentence คือประโยคที่มีเพียงหนึ่ง independent
clause เท่านั้น แต่จะมี dependent clause หนึ่ง clause หรือมากกว่าหนึ่งก็ได้มาเป็นส่วนขยาย
· You
didn’t tell me that you were going to set up a new business.
ส่วนที่ขีดเส้นใต้เป็น noun clause
The couple who lived in the big house at the corner used
to be movie stars.
ส่วนที่ขีดเส้นใต้เป็น relative clause ทำหน้าที่เป็น adjective
clause ขยายคำ noun ‘the couple’
As soon as I realized that something had gone wrong, I
called the police. (as soon as ใช้นำหน้า adverb clause of time)
This is the place where his brother was killed.
(where ใช้นำหน้า adverb clause of place)
She talked to him as if she were her mother.
(as if ใช้นำหน้า adverb clause of manner)
Alisa asked her parents to let her stay in her own flat
because she wanted to be independent.
(because ใช้นำหน้า adverb clause of reason)
Although he had tried hard to investigate the case, he
found little useful evidence.
(although ใช้นำหน้า adverb clause ที่บอก contrast)
Realizing that the political climate in the country was
unfavourable, Mr. Johnson cancelled the plan to expand his business.
(ส่วนที่ขีดเส้นใต้เรียกว่า participial phrase ลดรูปมาจาก clause เต็ม ๆ ว่า After
Mr. Johnson realized that the political climate in the country was unfavourable อยู่ในรูป active
voice)
Strongly criticized by her friends, she refused to join
the team.
(ส่วนที่ขีดเส้นใต้ก็เป็น participial phrase ด้วย
ลดรูปมาจาก clause เต็มว่า When หรือ After
she was strongly criticized by her friend. อยู่ในรูป passive
voice)
4. Compound – complex
sentence
Compound – complex sentence คือประโยคที่มีตั้งแต่สอง independent
clauses
ขึ้นไป และมี dependent clauses ตั้งแต่หนึ่ง clause ขึ้นไป
กล่าวง่าย ๆ คือมีทั้งประโยคcompound และ complex ปนกันอยู่
เช่น
Since that article seems to satisfy your needs, we are
enclosing a copy and we hope that it will help you find a suitable solution to
your problem.
การจำแนกส่วนต่าง ๆ ของประโยค ตามลักษณะหน้าที่
หากจะพิจารณาโครงสร้างของประโยคตามหน้าที่ (function) ของคำประเภทต่าง
ๆ ว่าทำหน้าที่อะไรในประโยคแล้ว โครงสร้างของประโยคจะประกอบด้วยส่วนที่สำคัญที่สุด 3 ส่วนคือ
ประธาน (Subject), กริยา (Verb) และส่วนเติมให้สมบูรณ์
(Complement)
ส่วนขยาย (modifiers) เช่น (adjectives,
adverbs) และคำเชื่อม (connectives) เช่นprepositions,
conjunctions, และอื่นๆ มีหน้าที่ช่วยเพิ่มเติมสนับสนุนที่สำคัญที่สุด โดยที่modifiers มีหน้าที่ช่วยให้มีความหมายมากขึ้น
หรือชัดเจนยิ่งขึ้น และ connectives มีหน้าที่แสดงความสัมพันธ์ระหว่างส่วนต่าง
ๆ ของประโยค เพื่อให้ประโยคเหล่านั้นมีความต่อเนื่องราบรื่นไม่สะดุด
1. Subject คือคำ
หรือกลุ่มคำที่อาจเป็นบุคคล สิ่งของ สถานที่ หรือสภาวะทางนามธรรม
ซึ่งเป็นผู้แสดงออกในประโยค ส่วนใหญ่ subjects ที่เป็นประเภทคำโดด
(single words) มักจะเป็นคำประเภท nouns และ pronouns เสมอ เช่น
The Principal called the meeting at 2 o’clock.
He wanted every staff member to attend the meeting.
Verbals (คำคล้าย verbs) เช่น gerund และ infinitive ก็อาจเป็น subject ได้
Jogging is good exercise. (gerund)
To run is more tiring than to walk. (infinitive)
The demonstrative, interrogative และ indefinite
pronouns เป็น subjects ได้
That is going to be a difficult task. (demonstrative)
What are your plans for doing it? (interrogative)
Everyone is ready to work with you. (indefinite)
Phrase ที่ทำหน้าที่เหมือน noun เป็น subject ของ sentence ได้
Winning the prize is the thing he is so proud of.
To make this report as comprehensive as possible is our
main objective.
Dependent clause ทั้ง clause ก็ทำหน้าที่เป็น subject ได้
Whoever works in the headquarter will be able to supply
the information you need.
Whether the report has been approved or not will
determine our action.
2. Verb คือคำที่ใช้แสดงการกระทำของ subject
(active verb) หรือการถูกกระทำ (passive verb) และอาจเป็นคำที่แสดงให้รู้จัก subject ซึ่งเรียกกันว่า linking
verb ซึ่งไม่ใช่ลักษณะของการกระทำหรือการถูกกระทำแต่อย่างใดก็ได้ เช่น He
appears happy. She looks cheerful. ในประโยคหนึ่ง ๆ จะมี verb เสมอเมื่อพูดถึง verb จะต้องนึกถึงตัวกำหนดรูปแบบของ verb
5 กรณีดังต่อไปนี้คือ
- พจน์ (number) - กาล (tense)
- การก (voice)
- บุคคล (person)) - มาลา (mood)
ตัวกำหนดทั้ง 5 กรณีนี้จะส่งผลให้มีการเปลี่ยนแปลงในรูปแบบของ verb ซึ่งอาจเปลี่ยนที่รูปแบบของ verb หรือใช้ auxiliary
verbs เหล่านี้ช่วย เช่น be, have, can, may, might, shall,
will, should, would, could, must, do
Verbs เปลี่ยนแปลงไปตามตัวกำหนดดังนี้
2.1 Number กำหนดให้ verb นั้นเป็น singular หรือ plural
verb ก็จะต้องเปลี่ยนไปตามนั้น
2.2 Person กำหนดให้ verb เปลี่ยนไปตาม person
3 อย่างคือ บุรุษที่ 1 first
person (I), บุรุษที่ 2 second person (you) หรือ บุรุษที่ 3 third
person (he, it, they)
2.3 Tense กำหนดให้ verb เปลี่ยนแปลงรูปแบบไปตามเวลาที่เกิดเหตุการณ์แล้วแต่จะเป็น past,
present หรือ future
2.4 Mood กำหนดให้ verb เปลี่ยนแปลงไปตามลักษณะของประโยค
หรือข้อความที่พูดแล้วแต่ว่าจะเป็นบอกเล่า หรือถาม (indicative mood) ออกคำสั่ง
หรือขอร้อง (imperative mood) หรือลักษณะประโยคเป็นแบบเงื่อนไข หรือการสมมุติ (subjunctive
mood)
2.5 Voice กำหนดให้ verb เปลี่ยนไปตามลักษณะที่ว่า subject เป็นผู้กระทำต่อ verb
(active voice) หรือเป็นผู้ถูกกระทำ (passive voice)
The technician completed the video recording yesterday.
(active voice)
Fund-raising activities were organized to help the
orphans. (passive voice)
Verbs เมื่อพิจารณาตามการกระทำว่า Verb นั้นแสดงการกระทำอะไรหรือไม่
หรือเพียงแต่มาเชื่อมกับประธานเฉย ๆ จะแบ่งได้เป็น 3 ชนิด คือ Transitive
verb คือ verb ที่ต้องมีกรรมมารับ เช่น eat,
Intransitive verb คือ verb ที่ไม่ต้องมีกรรมมารับ เช่น sleep และ Linking
verb ซึ่งมาเชื่อมกับ subject เช่น seem,
appear, feel
3. Complement
Complement คือ คำหรือกลุ่มคำที่ตามหลังกริยา
และทำให้ประโยคมีความหมายสมบูรณ์complement อาจเป็น
3.1 กรรมตรง (Direct object)
He bought a beautiful present for his wife.
We are trying to find a solution to this problem.
3.2 กรรมรอง (Indirect object)
He gave a beautiful present to his wife.
3.3 Predicate nominative ได้แก่ predicate noun,
predicate complement และ subjective complement ซึ่งก็คือ predicate
nominative นั่นเอง Predicate nominative จะตามหลัง linking
verbs และทำหน้าที่เป็น subject ในชื่อใหม่
คำที่ทำหน้าที่ predicate nominative เป็นได้ทั้ง noun,
pronoun, verbal phrase, หรือ clause
หมายเหตุ: คำว่า predicate แปลง่าย ๆ
ก็คือ ภาคแสดงนั่นเอง เช่น He is running แยกเป็น
He = subject และ predicate ก็คือ is
running
Noun: He is chairman of the Board of Directors.
Pronoun: They thought the winner was he.
Gerund: My favorite exercise is doing aerobics.
Infinitive phrase: The purpose of this seminar is to find
new ways and means to deal with our company’s productivity problem.
Noun Clause: The group leader should be whoever is best
qualified.
3.4 Predicate adjective คือ adjective ที่เป็นภาค predicate ของประโยคและขยาย noun หรือpronoun ที่เป็น subject Predicate
adjective จะต้องอยู่หลัง linking verb เสมอ
The flower smell sweet.
He seemed depressed after his wife’s death.
He appears enthusiastic about the subject.
4. Modifiers
(adjectives, adverbs) อาจเป็น single words, phrases หรือ clauses ก็ได้
Modifiers มีหน้าที่อธิบาย
หรือช่วยให้ความหมายของคำต่าง ๆ ในประโยคชัดเจนขึ้น และModifiers อาจทำให้ความหมายของประโยคกำกวมถ้าวางไม่ถูกตำแหน่ง
4.1 Adjectives คือคำที่ใช้ขยายหรือจำกัดความหมายของ noun หรือ pronoun ให้ชัดเจนขึ้น
The new employee has been assigned the difficult task of
analyzing the statistical reports on income tax.
Somchai was very disappointed; he failed completely in
that fierce competition.
4.2 Adverbs คือคำที่ใช้ขยาย verbs,
verbals, adjectives หรือ adverbs อื่น ๆ หรืออีกนัยหนึ่งadverbs คือคำที่ตอบคำถามคำที่ขึ้นต้นด้วย where,
how, how much, when, why เช่น
We will organize the party here.
She walks very fast.
Spending money unwisely, he ran out of his allowance.
Submit your report as soon as it is completed.
She went downtown to buy a new piece of jewellery.
5. Connectives
Connectives มีหน้าที่เชื่อมส่วนของประโยค
เพื่อแสดงความสัมพันธ์ระหว่างส่วนที่เชื่อมนั้นconjunctions และ prepositions ถือเป็น connectives ที่สำคัญที่สุดลักษณะสำคัญของconnectives มีดังนี้
5.1 เชื่อมส่วนของประโยค
หรือ clause ที่มีฐานะเท่ากัน ได้แก่ coordinate
conjunctions, correlative conjunctions, และ conjunctive
adverbs. connectives เหล่านี้ปรากฎอยู่ในcompound sentence . Coordinate
conjunctions Connectives ประเภทนี้ใช้มากที่สุด
จะใช้เชื่อมส่วนของประโยคที่มีฐานะหรือความสำคัญเท่ากันทางไวยากรณ์ คือ words กับ words,
phrases กับ phrases, independent clauses กับ independent
clauses คำเหล่านี้ที่ใช้มาก ได้แก่ and, but, or, nor, for,
yet เช่น I go to school, but
my sister stays at home. Correlative conjunctions Connectives ประเภทนี้จะเป็นคำคู่
ใช้เชื่อมส่วนของประโยคที่มีฐานะเท่ากันเหมือน coordinate
conjunctions แต่คำที่ใช้เป็นคู่นั้นจะต้องตามด้วยคำชนิดเดียวกัน ตัวอย่าง connectives ประเภทนี้ได้แก่ either…or,
neither…nor, not only…but also, both…and เช่น Either
he leaves or I will.
Conjunctive adverbs ประเภทนี้ใช้เชื่อม independent
clauses ด้วยกันเพื่อแสดงความสัมพันธ์อย่างไรก็ดีถึงแม้ clauses ที่ถูกเชื่อมจะเป็น independent
clauses แต่ก็เป็น independent ในเชิงไวยากรณ์เท่านั้น
ในแง่ความหมายที่สมบูรณ์จริง ๆ แล้วยังไม่สมบูรณ์ หากยังต้องอาศัยclause ที่มาก่อนจึงจะสมบูรณ์อย่างแท้จริง Conjunctive
adverbs ที่ใช้มากคือ therefore, however, consequently,
accordingly, subsequently, furthermore, moreover, neverthelessเช่น This
task is very difficult; therefore, we need all of us to co-operate.
5.2 เชื่อมส่วนของประโยคที่มีฐานะไม่เท่ากัน ได้แก่ subordinate
conjunctions, relative pronouns, และ relative adverbs. connectives เหล่านี้จะปรากฏอยู่ใน complex
sentenceSubordinate conjunctions Connectives ประเภทนี้ใช้นำ dependent
adverb clauses และเชื่อม independent clauses คำเหล่านี้ที่ใช้มาก
ได้แก่ before, since, after, as, because, if, unless, until,
although เช่น Although Sompong works very hard, his boss seems
to be displeased with his performance.
5.3 Prepositions คือคำที่ใช้แสดงความสัมพันธ์ระหว่าง verbs กับ noun ซึ่งเป็น objectของ preposition นั้น
และช่วยทำให้ความหมายของ verbs ที่ถูกเชื่อมเปลี่ยนไปจากเดิมได้ เช่นto,
of, by, from, between, in, over, under, for เช่น The
cat is under the table.
6. Verbals
Verbals เป็นคำที่สร้างจาก verbs แต่ไม่มีฐานะเป็น verbs,
verbals มี 3 ชนิดคือ infinitive,
participle และ gerund
6.1 Infinitives (to go, to run, to see, etc.) Infinitives ทำหน้าที่เหมือน noun,
adjective หรือadverb ได้
I like to dance. (noun)
A book to read is what the child wants. (adjective)
They went to play basketball. (adverb)
6.2 Participle มี 3 ชนิดคือ present
participle (reading, printing, feeling, etc.), past participle (written, typed,
built, etc.) และ perfect participle (having written, having typed,
having built, etc.)
Participle ทำหน้าที่อย่างเดียวคือเป็น adjective เท่านั้น
คือขยายคำนามที่เป็นประธานของประโยค
Going to the basement, John slipped. (adjective)
Typed and signed, the letter was mailed today.
(adjective)
Having seen the accident, she called the police.
(adjective)
6.3 Gerund (swimming, running breaking, etc.) โดยทั่วไปทำหน้าที่เป็น noun
David enjoys playing games on the internet. (noun) ทำหน้าที่กรรมตามหลังคำกริยา enjoy
http://www.englishican.com/%E0%B9%82%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%82%E0%B8%A2%E0%B8%84%E0%B8%AD%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%A4%E0%B8%A9/