Tense คือ รูปแบบของกิริยาที่แสดงให้ทราบว่า
การกระทำหรือเหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นเมื่อไร
ได้เกิดขึ้นแล้วหรือกำลังเกิดขึ้นในการข้างหน้า แบ่งเป็น 3 ชนิด คือ
1. Present Tense ปัจจบันกาล
2. Past Tense อดีตกาล
3. Future Tense อนาคตกาล
โครงสร้างของ Tense มีดังนี้
Present Tense
1. Present Simple Tense S + V.1
2. Present Progressive Tense S + is ,am , are + V.1
เติม ing
3. Present Perfect Tense S + have , has + V.3
4. Present Perfect Progressive
Tense S + have , has + been + V.1
เติม ing
Past Tense
1. Past Simple Tense S + V.2
2. Past Progressive Tense S + was , were + V.1
เติม ing
3. Past Perfect Tense S + had + V.3
4. Past Perfect Progressive Tense S + had + been + V.1
เติม ing
Future Tense
1. Future Simple Tense S + will , shall
+V.1
2. Future Progressive Tense S + will, shall + be + V.1
เติม ing
3. Future Perfect Tense S + will , shall + have , has + V.3
4. Future Perfect Progressive
Tense S +will , shall + have +
been + V.1 เติม ing
S ย่อมาจาก Subject หมายถึง
ประธานของประโยค
V.1 ย่อมาจาก Verb 1
หมายถึง กริยาช่องที่ 1
V.2 ย่อมาจาก Verb 2
หมายถึง กริยาช่องที่ 2
V.3 ย่อมาจาก Verb 3
หมายถึง กริยาช่องที่ 3
Present Simple Tense (ปัจจุบันกาล)
คือ tense ที่พูดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน
แต่ไม่ได้ระบุว่าการกระทำนั้นๆ สมบูรณ์แล้วหรือยัง โดยมีโครงสร้างดังนี้
โครงสร้าง :Subject + verb…
(ประธาน) + (กริยาช่องที่ 1)
(ประธาน) + (กริยาช่องที่ 1)
Subject คือ
ประธานของประโยค โดยประธานอาจจะแตกต่างกันไปเช่น เป็นคำนาม (noun) เป็นคำสรรพนาม
(pronoun) หรือเป็นประธานชนิดอื่นๆ โดยประธานจะมี 2 ชนิดคือ
- ประธานเอกพจน์
- ประธานพหูพจน์
- ประธานเอกพจน์
- ประธานพหูพจน์
Verb คือ
กริยาของประธานหรืออาการที่ประธานแสดงออกมาโดยกริยาแท้จะมี 3 ช่อง เช่น
ช่อง 1
ช่อง 2 ช่อง 3
speak spoke spoken
write wrote write
want watched wanted
watch watched watched
Present
Simple Tense ใช้กับกริยาช่องที่ 1 เท่านั้น โดยนำกริยาช่องที่ 1 ไปเติมลงในโครงสร้างต่อจากประธาน
โดยมีข้อระวังอยู่นิดเดียวคือ
- ถ้าประธานเป็นเอกพจน์กริยาช่องที่ 1 ของ present simple tense ต้องเติม -s หรือ -es
- ถ้าประธานเป็นพหูพจน์ กริยาเป็นช่องที่ 1 ไม่เติมอะไรเลย
เช่น
Ann works in the office.
แอน ทำงานในออฟฟิศ
(เติม -s ที่ work เพราะประธานเป็นเอกพจน์)
- ถ้าประธานเป็นเอกพจน์กริยาช่องที่ 1 ของ present simple tense ต้องเติม -s หรือ -es
- ถ้าประธานเป็นพหูพจน์ กริยาเป็นช่องที่ 1 ไม่เติมอะไรเลย
เช่น
Ann works in the office.
แอน ทำงานในออฟฟิศ
(เติม -s ที่ work เพราะประธานเป็นเอกพจน์)
Sona goes to
school every day.
โซน่าไปโรงเรียนทุกวัน
(Sona เป็นประธานเอกพจน์กริยาลงท้ายด้วย o เติม -es)
โซน่าไปโรงเรียนทุกวัน
(Sona เป็นประธานเอกพจน์กริยาลงท้ายด้วย o เติม -es)
การใช้ Present Simple Tense
1) ใช้ present simple tense กับการกระทำที่เกิดขึ้นเป็นปกติวิสัยหรือ กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นประจำสม่ำเสมอ ซึ่งการใช้กับการกระทำ หรือเหตุการณ์ดังกล่าวนี้ มักจะมีคำกริยาวิเศษณ์ บอกเวลา (adverbs of time) เหล่านี้อยู่ด้วยเสมอ คือ
1) ใช้ present simple tense กับการกระทำที่เกิดขึ้นเป็นปกติวิสัยหรือ กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นประจำสม่ำเสมอ ซึ่งการใช้กับการกระทำ หรือเหตุการณ์ดังกล่าวนี้ มักจะมีคำกริยาวิเศษณ์ บอกเวลา (adverbs of time) เหล่านี้อยู่ด้วยเสมอ คือ
My watch keeps good
time.
นาฬิกาของผมเดินตรงมาเลย (เดินเป็นปกติวิสัย)
นาฬิกาของผมเดินตรงมาเลย (เดินเป็นปกติวิสัย)
2) ใช้ present
simple tense กับสิ่งที่เป็นจริงตลอดกาล หรือความจริงที่มีอยู่ทั่วไป เช่น
The sun rises in
the east.
พระอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันออก
พระอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันออก
The earth moves round
the sun.
โลกหมุนรอบดวงอาทิตย์
โลกหมุนรอบดวงอาทิตย์
3) ใช้ present
simple tense กับแผนการ หรือตารางเวลาที่วางไว้ล่วงหน้าซึ่งสิ่งที่วาง
แผนการไว้นั้นจะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้ เช่น
The concert this
afternoon starts at 13.15.
คอนเสิร์ตบ่ายนี้จะเริ่มแสดงเวลา 13.15 น.
คอนเสิร์ตบ่ายนี้จะเริ่มแสดงเวลา 13.15 น.
4) ใช้ present
simple tense คู่กับ future simple tense ในประโยคเงื่อนไขที่มี คำเชื่อมที่ แสดงเวลาเป็นอนาคตนำหน้า
present simple tense และคำแสดงเวลาในประโยคเงื่อนไขที่กล่าวถึงนี้ คือ
When เมื่อ as
soon as เมื่อ
Before ก่อน if
ถ้า
unless ถ้า...ไม่ whenever
เมื่อไหร่ก็ตาม
until จนกระทั่ง till
จนกระทั่ง
หมายเหตุ: ใช้ present
simple tense กับ If Clause (หรือ
unless) ที่เป็นประโยคเงื่อนไขชนิดที่
1 เท่านั้น
โครงสร้าง : If
+ present simple, + ประโยคหลักมี will, shall…
We shall start
our journey when our advisor arrives.
พวกเราจะเริ่มการเดินทางเมื่อที่ปรึกษาของพวกเรามาถึง
พวกเราจะเริ่มการเดินทางเมื่อที่ปรึกษาของพวกเรามาถึง
Unless you take your off the brake the car won’t move.
ถ้าคุณไม่ปล่อยเบรกรถก็จะไม่เคลื่อนที่
ถ้าคุณไม่ปล่อยเบรกรถก็จะไม่เคลื่อนที่
หมายเหตุ: ถ้าประโยคเงื่อนไขนั้นมีโครงสร้างใกล้เคียงกัน มาก tense
ของทั้ง 2 ประโยค
จะอยู่ในรูปที่เสมอกัน
5) ใช้ present
simple tense เมื่อพูดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในหนังสือ ในบทละครหรือในภาพยนตร์
ซึ่งเป็นการเล่าเรื่องที่ได้อ่าน ได้เห็นหรือได้ฟัง และใช้ present simple
tense กับกริยา say เป็ยการอธิบายเนื้อหาของหนังสือ ที่ได้อ่านมา
เช่น
In the film he plays the
central character of Charles Smithson.
ในบทภาพยนตร์เขาได้เล่นบทสำคัญของ Charles Smithson
ในบทภาพยนตร์เขาได้เล่นบทสำคัญของ Charles Smithson
6) ใช้ present
simple tense กับกริยาที่แสดงความรู้สึก แสดงอารมณ์ หรือสภาวะทางจิตใจ
ซึ่งโดยปกติแล้ว มักจะไม่นำไปใช้ใน present continuous tense (ดูเพิ่มเติมจาก
present continuous tense) กริยาจำพวกนี้มี see, hear, love, like,
hate เป็นต้น เช่น
I hear you
are getting married.
ผมทราบมาว่าคุณจะเข้าพิธีแต่งงาน
ผมทราบมาว่าคุณจะเข้าพิธีแต่งงาน
Present Continuous Tense เป็น tense
ที่ใช้กับเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นหรือกำลังกระทำอยู่ในขณะที่พูดนั้น
present continuous tense สร้างมาจาก present tense โดยใช้ verb
to be และ กริยาแท้ช่องที่ 1 เติม -ing
โครงสร้าง : subject
+ is, am, are + V. ing...
She is talking to
a customer on the phone.
หล่อนกำลังคุยโทรศัพท์อยู่กับลูกค้า
( she เป็นประธานเอกพจน์จึงใช้กริยาช่วย verb to be เป็น is และกริยาแท้ talk เติม -ing ตามโครงสร้าง)
หล่อนกำลังคุยโทรศัพท์อยู่กับลูกค้า
( she เป็นประธานเอกพจน์จึงใช้กริยาช่วย verb to be เป็น is และกริยาแท้ talk เติม -ing ตามโครงสร้าง)
I am going to
bed now. Goodnight!
ผมกำลังจะเข้านอน สวัสดีนะครับ
(ประธานของประโยคคือ I จึงใช้กริยาช่วย verb to be รูป am ส่วนกริยาแท้ go เติม -ing ตามโครงสร้าง)
ผมกำลังจะเข้านอน สวัสดีนะครับ
(ประธานของประโยคคือ I จึงใช้กริยาช่วย verb to be รูป am ส่วนกริยาแท้ go เติม -ing ตามโครงสร้าง)
หลักการใช้ Present
Continuous Tense
1) ใช้ present continuous tense กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในขณะที่พูดนั้นซึ่งโดยมากจะมี คำกริยาวิเศษณ์บอกเวลาดังต่อไปนี้เป็นตัวบ่งชี้
1) ใช้ present continuous tense กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในขณะที่พูดนั้นซึ่งโดยมากจะมี คำกริยาวิเศษณ์บอกเวลาดังต่อไปนี้เป็นตัวบ่งชี้
Now
At this moment
At the moment = ขณะนี้
Right now
At present
At this moment
At the moment = ขณะนี้
Right now
At present
Tell the two boys to stop shouting. We are writing our reports at
this moment.
บอกเด็กชาย 2 คนนั้นให้หยุดตะโกนหน่อย พวกเรากำลังเขียนรายงานอยู่
บอกเด็กชาย 2 คนนั้นให้หยุดตะโกนหน่อย พวกเรากำลังเขียนรายงานอยู่
2) ใช้ present
continuous tense แสดงเหตุการณ์ หรือการกระทำที่เกิดขึ้นชั่วคราว
โดยกิจกรรมหรือการกระทำเหล่านั้นจะไม่คงอยู่แบบถาวร เช่น
My sister is living at
home for the moment.
ขณะนี้น้องสาวผมอยู่บ้าน (อีกไม่นานหล่อนอาจจะไปที่ไหนก็ได้เพียงแต่ตอนนี้อยู่บ้าน)
ขณะนี้น้องสาวผมอยู่บ้าน (อีกไม่นานหล่อนอาจจะไปที่ไหนก็ได้เพียงแต่ตอนนี้อยู่บ้าน)
หมายเหตุ : present continuous
tense ใช้กับเหตุการณ์หรือสิ่งที่เกิดขึ้นชั่วคราว ไม่ใช่เกิดแบบถาวร ส่วน present
simple tense จะใช้กับสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นปกติวิสัยหรือเกิดถาวร
3) ใช้ present
continuous tense กับการเตรียมการ การวางแผนงาน
หรือการกระทำที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้ และต้องระบุเวลาที่การกระทำนั้นๆ
จะเกิดไว้ด้วย เพื่อไม่ให้เกิดการสับสนระหว่างความหมายที่เป็นปัจจุบัน
และความหมายที่เป็นอนาคต เช่น
She is going to
a party next Sunday.
หล่อนจะไปงานปาร์ตี้ในวันอาทิตย์หน้า
หล่อนจะไปงานปาร์ตี้ในวันอาทิตย์หน้า
4) ใช้ present
continuous tense กับเหตุการณ์หรือการกระทำที่เป็นปัจจุบัน
แต่ไม่จำเป็นต้องเกิดในขณะที่พูดอยู่นั้น เพราะจะเป็นช่วงเวลายาวๆ เช่น
เป็นสัปดาห์ เดือน เทอม ปี เช่น
You look lovely when
you are smiling.
คุณดูน่ารักมากเวลาคุณยิ้ม
คุณดูน่ารักมากเวลาคุณยิ้ม
5) ใช้ always
ในประโยค
ใช้ present continuous tense เมื่อเหตุการณ์หรือการกระทำนั้นๆ เกิดขึ้นบ่อยๆ
หรือเกิดขึ้นโดยไม่ได้คาดหมายมาก่อน เช่น
I always meet
Mr. Richard in the English Club.
ผมพบคุณริชาร์ตที่ชมรมภาษาอังกฤษเสมอๆ
ผมพบคุณริชาร์ตที่ชมรมภาษาอังกฤษเสมอๆ
Present Perfect Tense ถูกสร้างขึ้นโดยมีกริยาช่วย
have, has อยู่ในประโยคหรือกริยาแท้ของประโยค present perfect tense จะเป็นกริยาช่องที่
3 เสมอ ซึ่งโดยมากแล้วจะอยู่ในรูปกริยา เติม -ed (finished,
decided, arrested, improved, arrived, เป็นต้น) ซึ่งเรียกว่า regular verb ส่วนกริยาช่องที่
3 ที่ เป็น irregular verb และถูกนำมาใช้ใน present perfect tense บ่อยๆ ก็มี lost,
done, been, written เป็นต้น
โครงสร้าง : S
+ has, have + V.3…
Has: ใช้กับประธานเอกพจน์จำพวก he, she, it, Tom เป็นต้น
Have: ใช้กับประธานพหูพจน์จำพวก we, they, you, Tom เป็นต้น
We have been here
for three days.
พวกเราอยู่ที่นี่มา 3 วันแล้ว
พวกเราอยู่ที่นี่มา 3 วันแล้ว
การใช้ Present Perfect Tense
1) ใช้ present
perfect tense กับการกระทำที่เกิดขี้นในอดีตและดำเนินมาจนถึงปัจจุบัน
ซึ่งโดยมากแล้วจะมีกริยาวิเศษณ์จำพวก since, for เป็นตัน
เป็นตัวชี้นำอยู่ในประโยค เช่น
I have been in
Bangkok since 1988
ผมอยู่กรุงเทพฯ มาตั้งแต่ 1988(ขณะนี้ก็ยังอยู่)
ผมอยู่กรุงเทพฯ มาตั้งแต่ 1988(ขณะนี้ก็ยังอยู่)
2) ใช้ present
perfect tense กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีตแต่ยังแสดงผลให้เห็นในปัจจุบัน
และบ่อยครั้งที่มีคำกริยาวิเศษณ์จำพวก ever, never just, already, yetเป็นต้น
อยู่ในประโยค เช่น
Tom has had a
bad car accident.
ทอมได้รับอุบัติเหตุทางรถยนต์ (คาดว่าตอนนี้นอนอยู่โรงพยาบาล)
ทอมได้รับอุบัติเหตุทางรถยนต์ (คาดว่าตอนนี้นอนอยู่โรงพยาบาล)
3) ใช้ present
perfect tense กับการกระทำที่เกิดขึ้นในอดีตแต่ไม่ได้ระบุเวลาเฉพาะ เจาะจง เช่น
Somchai has been to
Japan.
สมชัยได้เดินทางไปประเทศญี่ปุ่น
สมชัยได้เดินทางไปประเทศญี่ปุ่น
4) ใช้ present
perfect tense กับการกระทำหรือเหตุการณ์ที่เพิ่งจะจบลงไปอย่างสมบูรณ์
หรือเกือบจะสมบูรณ์ในขณะที่พูดอยู่ นั้น โดยมีคำกริยาวิเศษณ์เหล่านี้อยู่ในประโยค
คือ
just เพิ่งจะ
yet ยังเลย
recently เมื่อเร็วๆนี้
already แล้ว
finally ในที่สุด
yet ยังเลย
recently เมื่อเร็วๆนี้
already แล้ว
finally ในที่สุด
He has already finished his
work.
เขาทำงานเสร็จเมื่อครู่นี้
เขาทำงานเสร็จเมื่อครู่นี้
Present Perfect Continuous Tense มีหลักการใช้คล้ายกับ
present perfect tense เพียงแต่เน้นการกระทำที่เกิดขึ้นต่อเนื่อง จากอดีตมาจนถึงปัจจุบัน
และรูปที่ใช้จะมี verb to be ด้วย
โครงสร้าง : S
+ has, have + been + V.ing
She has been
helping us since one o’ clock.
หล่อนได้ช่วยเหลือพวกเรามาตั้งแต่เวลาบ่ายโมงจนถึงขณะนี้
หล่อนได้ช่วยเหลือพวกเรามาตั้งแต่เวลาบ่ายโมงจนถึงขณะนี้
การใช้ Present
Perfect Continuous Tense
1) การใช้ Present Perfect Continuous Tense กับเหตุการณ์หรือการกระทำที่เกิดขึ้นในบางช่วงเวลาในอดีตและยังดำเนินไปอยู่ในขณธที่พูดนั้น เช่น
1) การใช้ Present Perfect Continuous Tense กับเหตุการณ์หรือการกระทำที่เกิดขึ้นในบางช่วงเวลาในอดีตและยังดำเนินไปอยู่ในขณธที่พูดนั้น เช่น
Ladda has been reading for
five hours.
ลัดดาอ่านหนังสือมา 5 ช.ม. แล้ว (ขณะนี้ยังอ่านอยู่)
ลัดดาอ่านหนังสือมา 5 ช.ม. แล้ว (ขณะนี้ยังอ่านอยู่)
2) ใช้ Present
Perfect Continuous Tense เพื่อเน้นระยะเวลาของเหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านไป อีกอย่างใช้ tense
นี้กับการกระทำที่เพิ่งจะจบลงเมื่อสักครู่นี้
เช่น
My boyfriend has been playing.
คนรักของฉันยังคงเล่นอยู่เลย (เล่นเกมส์ หรือ เล่นอะไรสักอย่าง)
คนรักของฉันยังคงเล่นอยู่เลย (เล่นเกมส์ หรือ เล่นอะไรสักอย่าง)
3) ใช้ Present
Perfect Continuous Tense กับ how long, for… และ since … ซึ่งจะบอกว่าเหตุการณ์นั้นๆ
ดำเนินต่อเนื่องมาถึงปัจจุบัน หรือเหตุการณ์นั้นๆ เพิ่งจะจบลง เช่น
How long have you
been staying in Bangkok?
คุณจะพักอยู่กรุเทพฯ นานเท่าไหร่
คุณจะพักอยู่กรุเทพฯ นานเท่าไหร่
Past Simple Tense พูดถึงเหตุการณ์ที่จบลงแล้ว
คือ เหตุการณ์ที่ผ่านเป็นอดีตไปแล้วนั่นเอง ในโครงสร้างของ past tense นั้น past
simple tense มีบทบาทค่อนข้างสูงเพราะง่ายต่อการนำมาใช้ และมีโครงสร้างคล้ายกับ present
simple tense การใช้ก็ไม่ต่างกันมากเพียงแต่ past simple tense ใช้กับเหตุการณ์ที่เป็นอดีต
ส่วน present simple tense ใช้กับเหตุการณ์ที่เป็นปัจจุบัน
ส่วนกริยาที่ใช้ก็จะ ต่างกันนิดหน่อย โดยกริยาของ present simple tense จะเป็นช่องที่
1 (V.1) ส่วนกริยาของ past simple tense จะเป็นช่องที่
2 (V.2) และคำกริยาวิเศษณ์ของ past simple tense ก็จะต่างจาก present
simple tense ด้วยเช่นกัน
โครงสร้าง : S +V.2
She told me
her story.
หล่อนเล่าเรื่องของหล่อนให้ผมฟัง
หล่อนเล่าเรื่องของหล่อนให้ผมฟัง
การใช้ Past Simple Tense
1) ใช้ Past Simple Tense กับเหตุการณ์ที่เกิดในอดีตและจบลงไปแล้วในอดีตและไม่มีอะไรต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน ซึ่งโดยมากจะมีคำกริยาวิเศษณ์บอกถึงอดีตอยู่ด้วย
yesterday เมื่อวานนี้
formerly แต่ก่อนนี้
ago แล้ว, มาแล้ว
last month เดือนที่แล้ว
last night คืนที่แล้ว
last… (last + คำนามอื่นๆ)
1) ใช้ Past Simple Tense กับเหตุการณ์ที่เกิดในอดีตและจบลงไปแล้วในอดีตและไม่มีอะไรต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน ซึ่งโดยมากจะมีคำกริยาวิเศษณ์บอกถึงอดีตอยู่ด้วย
yesterday เมื่อวานนี้
formerly แต่ก่อนนี้
ago แล้ว, มาแล้ว
last month เดือนที่แล้ว
last night คืนที่แล้ว
last… (last + คำนามอื่นๆ)
I finished my report last
week.
ผมทำรายงานเสร็จเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว
ผมทำรายงานเสร็จเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว
2) ใช้ Past Simple Tense กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นนิสัย
เป็นประจำในอดีต โดยจะมีคำกริยาวิเศษณ์บอกความถี่
และกริยาวิเศษณ์บอกถึงอดีตมากำกับในประโยคด้วย เช่น
I studied many hours every day.
ฉันเรียนหลายชั่วโมงทุกวัน
I studied many hours every day.
ฉันเรียนหลายชั่วโมงทุกวัน
Past Continuous Tense เป็น tense
ที่ใช้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและดำเนินไปอยู่ในอดีต
หรือเกิดขึ้นและดำเนินไปอยู่ในช่วงใดช่วงหนึ่งในอดีต โดยมีรูปโครงสร้างคล้ายกับ present
continuous tense ต่างแต่ past continuous tense ใช้กริยาช่วย verb
to be รูป was, were และเหตุการณ์ที่กล่าวถึงนั้นจบลงแล้ว
โครงสร้าง: S + was, were + V.ing
Was: ใช้กับประธานเอกพจน์รวมทั้ง
I
Were: ใช้กับประธานพหูพจน์
การใช้ Past Continuous Tense
1) ใช้ past continuous tense กับเหตุการณ์หรือการกระทำที่เกิดขึ้นและดำเนินไปอยู่ในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่งในอดีต โดยอาจจะมีคำกริยาวิเศษณ์บอกเวลาในอดีตระบุไว้ให้ทราบด้วย เช่น
1) ใช้ past continuous tense กับเหตุการณ์หรือการกระทำที่เกิดขึ้นและดำเนินไปอยู่ในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่งในอดีต โดยอาจจะมีคำกริยาวิเศษณ์บอกเวลาในอดีตระบุไว้ให้ทราบด้วย เช่น
Tom was watching TV at
10 o’clock yesterday.
ทอมกำลังดู TV อยู่ในช่วงเวลานี้ของคืนที่แล้ว
ทอมกำลังดู TV อยู่ในช่วงเวลานี้ของคืนที่แล้ว
2) ใช้ past
continuous tense กับเหตุการณ์ 2 เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นคู่กับในอดีต
โดยเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ใช้ past continuous tense ส่วนเหตุการณ์ที่เข้ามาแทรกให้ใช้
past simple tense โดยที่ประโยคทั้ง 2 จะมีตัวเชื่อมจำพวก when, while เป็นตัวเชื่อมเหตุการณ์ทั้ง
2 เข้าด้วยกัน เช่น
The phone rang while I
was watching television.
โทรศัพท์ได้ดังขึ้นในขณะที่ผมกำลังดูโทรทัศน์อยู่
โทรศัพท์ได้ดังขึ้นในขณะที่ผมกำลังดูโทรทัศน์อยู่
หมายเหตุ: สังเกตได้ว่า while
หรือ
as ใช้วางไว้หน้า past continuous tense ส่วน when
ใช้วางไว้หน้า
past simple tense
3) ใช้ past continuous tense กับเหตุการณ์ 2 เหตุการณ์ที่กำลังดำเนินต่อเนื่องกันไปในช่วงเวลาเดียวกันในอดีตโดยจะมีคำเชื่อม
while และ as อยู่ด้วย และทั้ง 2 เหตุการณ์ใช้ past continuous tense เช่น
While Tom
was writing, his wife was cooking.
ขณะที่ทอมกำลังเขียนหนังสืออยู่นั้นภรรยาของเขากำลังทำกับข้าว
ขณะที่ทอมกำลังเขียนหนังสืออยู่นั้นภรรยาของเขากำลังทำกับข้าว
Past Perfect Tense มีรูปโครงสร้างคล้ายกับ
present perfect tense ต่างเฉพาะ present perfect tense ใช้ has,
have เป็นกริยาช่วย ส่วน past perfect tense ใช้ had
เป็นกริยาช่วยและการใช้ก็ใช้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีต
ซึ่งจะเป็นช่วงเวลาใดเวลาหนึ่งในอดีต และเหตุการณ์ที่พูดถึงนั้นจบสมบูรณ์แล้ว
โครงสร้าง: S
+ had +V.3…
She explained that she had forgotten her
book.
หล่อนอธิบายว่าหล่อนได้ลืมหนังสือหนังสือเล่มหนึ่ง
หล่อนอธิบายว่าหล่อนได้ลืมหนังสือหนังสือเล่มหนึ่ง
การใช้ Past
Perfect Tense
1) ใช้ Past Perfect Tense กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและจบลงก่อนเหตุการณ์ที่เป็น past simple หมายความว่า เมื่อเราได้พูดถึงเหตุการณ์ที่เป็นอดีตจบลงแล้ว (เหตุการณ์นี้ใช้ past simple) และถ้าอยากจะพูดถึงเหตุการณ์อีกเหตุการณ์หนึ่งที่เกิดขึ้นก่อนอดีตที่เพิ่งจะพูดจบลงไปเมื่อครู่นี้ ให้ใช้ past perfect tense
1) ใช้ Past Perfect Tense กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและจบลงก่อนเหตุการณ์ที่เป็น past simple หมายความว่า เมื่อเราได้พูดถึงเหตุการณ์ที่เป็นอดีตจบลงแล้ว (เหตุการณ์นี้ใช้ past simple) และถ้าอยากจะพูดถึงเหตุการณ์อีกเหตุการณ์หนึ่งที่เกิดขึ้นก่อนอดีตที่เพิ่งจะพูดจบลงไปเมื่อครู่นี้ ให้ใช้ past perfect tense
อีกอย่างคำจำกัดความข้อนี้หมายถึง
การใช้ past perfect กับเหตุการณ์ 2 เหตุการณ์
โดยเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนและจบลงไปแล้วในอดีต ให้ใช้ past perfect ส่วนอีกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นภายหลังและจบภายหลัง
ซึ่งก็เป็นอดีตเหมือนกันให้ใช้ past simple โดยมากแล้วจะมีตัวเชื่อม
จำพวก when, before, after เชื่อมในประโยค เช่น
After I had written the letter, Sudarat came in.
After I had written the letter, Sudarat came in.
การสร้าง Past Perfect Tense รูปอื่นๆ
1) Past Perfect
Tense ทำเป็นประโยคปฏิเสธได้โดยการเติม not ที่ had (เหมือน Present
Perfect Tense)
2) Past Perfect Tense ทำเป็นประโยคคำถามโดยการนำ had
มาวางไว้หน้าประธาน (เหมือน Present Tense)
3) การตอบคำถามของ
Past Perfect Tense ทำเหมือนกับ Present Perfect Tense
Past Perfect Continuous Tense ใช้คล้ายๆ กับ
Present Perfect Tense เช่นเดียวกับที่ Present Perfect Continuous Tense ใช้คล้ายกับ Present
Perfect Tense โดย Past Perfect Continuous Tense จะเน้นถึงช่วงเวลาที่เกิดขึ้นในอดีต
โครงสร้าง: S
+ had + been +V.ing
Had ใช้ได้กับประธาน
ทั้งเอกพจน์และพหูพจน์
At that time he had been
writing a novel for two months.
ช่วงเวลานั้นเขาได้เขียนนวนิยายเป็นเวลา 2 เดือนแล้ว
ช่วงเวลานั้นเขาได้เขียนนวนิยายเป็นเวลา 2 เดือนแล้ว
การใช้ Past Perfect Continuous Tense
1) ใช้ Past
Perfect Continuous Tense กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีต
ซึ่งเกิดก่อนหน้าช่วงเวลาอดีตที่กำลังพูดถึงกันอยู่ (เหมือน Past Perfect
Tense) และดำเนินต่อเนื่องกันมาถึงช่วงเวลาหนึ่งจึงจบลง ซึ่งจะใช้ Past
Perfect หรือ Past Perfect Continuous ก็ได้โดยจะใช้ Past Perfect Continuous ก็ต่อเมื่อต้องการเน้นความต่อเนื่องของเหตุการณ์ที่เกิดก่อนในอดีต
ว่าได้เกิดต่อเนื่องกันมามิได้หยุด
ก่อนที่จะมีอีกเหตุการณ์หนึ่งที่เป็นอดีตเช่นกันได้เกิดขึ้นในภายหลัง
โดยเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในภายหลังนี้ใช้ Past Simple Tense เช่น
It
is now eight p.m. I was very tired because I had been
working since morning.
ขณะนี้ 2 ทุ่มแล้ว ผมรู้สึกเหนื่อยมากเพราะผมได้ทำงานติดต่อกันตลอดวัน ตั้งแต่เช้าตรู่ทีเดียว (ทำงานก่อนเป็น had been working และรู้สึกเหนื่อยตอนเลิกแล้วจึงใช้รูป past simple tense)
ขณะนี้ 2 ทุ่มแล้ว ผมรู้สึกเหนื่อยมากเพราะผมได้ทำงานติดต่อกันตลอดวัน ตั้งแต่เช้าตรู่ทีเดียว (ทำงานก่อนเป็น had been working และรู้สึกเหนื่อยตอนเลิกแล้วจึงใช้รูป past simple tense)
It had been raining,
so the ground wet.
ฝนได้ตก (เมื่อคืน) ดังนั้นพื้นดินจึงเปียก
ฝนได้ตก (เมื่อคืน) ดังนั้นพื้นดินจึงเปียก
2)
Past Perfect ที่ใช้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นซ้ำๆ หลายครั้ง สามารถใช้ Past
Perfect Continuous Tense แทนได้ เช่น
I had tried ten
times to get her on the phone. (past perfect)
ผมได้พยายามถึง 10 ครั้งเพื่อพูดโทรศัพท์กับหล่อน
ผมได้พยายามถึง 10 ครั้งเพื่อพูดโทรศัพท์กับหล่อน
I had been
trying to get her on the phone. (past perfect continuous)
หมายเหตุ:
กริยาที่ไม่ใช้รูป
continuous (ยกเว้น want และ wish) จะไม่นำมาใช้ใน
past perfect continuous เพราะ past perfect continuous อยู่ในรูป -ing
เหมือน
continuous ตัวอื่น
Future Simple Tense แสดงถึงอนาคตกาล
คือ ทั้งที่ยังไม่เกิดขึ้น คำว่า Future (อนาคต) ก็คือ
สิ่งที่ยังไม่แน่นอนว่าจะเกิดขึ้นหรือเปล่า ด้วยความไม่แน่นอนนี่เอง รูปของ Future
จึงมีหลายรูปด้วยกัน
โดยจะบอกถึงโอกาสของการเกิดที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งโดยปกติแล้วเราจะคุ้นกับรูป Will,
Shall ว่าเป็น Future แต่จริงๆ แล้วยังมีอีกหลายรูปหลาย Tense ที่ให้ความหมายเป็น
Future ได้เหมือนกับ Will, Shall ดังนี้
1) รูป future
ที่ใช้
will, shall
2) รูป future ที่ใช้ present simple
3) รูป future ที่ใช้ present continuous
4) รูป future ที่ใช้ be going to
5) รูป future ที่ใช้ future perfect
6) รูป future ที่ใช้ future perfect continuous
7) รูป future ที่ใช้ future continuous
2) รูป future ที่ใช้ present simple
3) รูป future ที่ใช้ present continuous
4) รูป future ที่ใช้ be going to
5) รูป future ที่ใช้ future perfect
6) รูป future ที่ใช้ future perfect continuous
7) รูป future ที่ใช้ future continuous
ทั้ง 7 รูปข้างต้นนี้ล้วนแต่ให้ความหมายเป็นอนาคตได้ทั้งนั้น
แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะนำรูปทั้งหมดนั้นมาใช้ในรูป future เพียงอย่างเดียว
ที่บอกว่าเป็นอนาคตได้นั้นหมายเอาในบางแง่ที่สามารถนำมาใช้ในรูปอนาคตได้แต่ที่เป็นอนาคตตลอดเวลาได้ก็มีรูป
will, shall และ be going to + v เท่านั้น
ขอให้ศึกษาวิธีการใช้จากกฎเกณฑ์และตัวอย่างต่อไปนี้แล้วจะรู้ว่า
ภาษอังกฤษไม่ยากอย่างที่คิด
โครงสร้าง: S
+ will / shall + v.1
will / shall ใช้เป็นกริยาช่วยเสมอ (เป็น modal auxiliary verb) กริยาแท้ที่ตามหลัง
will shall จะเป็นกริยาช่องที่ 1 เสมอไม่ว่าประธานจะเป็นเอกพจน์หรือพหูพจน์ก็ตาม
เช่น
Please wait here. I will be back soon.
กรุณารอที่นี่นะ ผมจะกลับมาเร็วๆนี้ (will ใช้ได้กับประธานทุกตัว ส่วน shall จะใช้กับประธาน I และ We โดยกริยาหลัง Will / Shall จะเป็นช่องที่ 1 เสมอ ประโยคข้างบนมี be เป็นกริยาแท้)
กรุณารอที่นี่นะ ผมจะกลับมาเร็วๆนี้ (will ใช้ได้กับประธานทุกตัว ส่วน shall จะใช้กับประธาน I และ We โดยกริยาหลัง Will / Shall จะเป็นช่องที่ 1 เสมอ ประโยคข้างบนมี be เป็นกริยาแท้)
I shall do it
tomorrow.
ผมจะทำสิ่งนี้ในวันพรุ่งนี้
ผมจะทำสิ่งนี้ในวันพรุ่งนี้
การใช้ Future
Simple Tense
1) ใช้ Future Simple Tense กับเหตุการณ์ที่เกิดในอนาคตโดยทั่วๆไป ที่ผู้พูดคิดหรือหวังว่าสิ่งที่กำลังพูดถึงอยู่นั้นจะเกิดขึ้นในอนาคต ซึ่งโดยมากแล้วจะมีคำ adverbs ดังต่อไปนี้อยู่ในประโยคด้วย
1) ใช้ Future Simple Tense กับเหตุการณ์ที่เกิดในอนาคตโดยทั่วๆไป ที่ผู้พูดคิดหรือหวังว่าสิ่งที่กำลังพูดถึงอยู่นั้นจะเกิดขึ้นในอนาคต ซึ่งโดยมากแล้วจะมีคำ adverbs ดังต่อไปนี้อยู่ในประโยคด้วย
tomorrow พรุ่งนี้
next week สัปดาห์หน้า
next month เดือนหน้า
tonight คืนนี้
later ในภายหลัง
the day after tomorrow มะรืนนี้
soon เร็ว ๆ นี้
next week สัปดาห์หน้า
next month เดือนหน้า
tonight คืนนี้
later ในภายหลัง
the day after tomorrow มะรืนนี้
soon เร็ว ๆ นี้
We shall buy a house
in the city soon.
พวกเราจะซื้อบ้านในตัวเมืองเร็ว ๆ นี้
พวกเราจะซื้อบ้านในตัวเมืองเร็ว ๆ นี้
หมายเหตุ:
1) ใช้ future tense กับการทำนายโดยใช้ได้ทั้งรูป will, shall และ be going to แต่ถ้าใช้ future tense ในรูป if clause (เป็นการทำนายเช่นกัน) จะใช้ได้เฉพาะรูป will, shall ห้ามใช้รูป be + going to
1) ใช้ future tense กับการทำนายโดยใช้ได้ทั้งรูป will, shall และ be going to แต่ถ้าใช้ future tense ในรูป if clause (เป็นการทำนายเช่นกัน) จะใช้ได้เฉพาะรูป will, shall ห้ามใช้รูป be + going to
2) การคาดการณ์อาจจะมีคำว่า
probably, sure, think, wonder เป็นต้น
อยู่ในประโยคซึ่งความหมายของคำเหล่านี้จะเป็นการคาดการณ์
3) ใช้ future
simple tense กับสิ่งที่ได้ตัดสินใจไว้แล้ว ซึ่งเป็นสิ่งที่คาดว่าจะเกิดขึ้นแน่นอน
หรือเป็นสิ่งที่วางแผนไว้แล้วว่าจะทำโดยใช้ future ในรูป be
+ going to + V.1 ไม่นิยมใช้ will, shall เช่น
We are going
to see a movie tonight.
พวกเราจะไปดูหนังในคืนวันนี้
พวกเราจะไปดูหนังในคืนวันนี้
4) ใช้ future
simple tense กับการตัดสินใจ (decisions) การข่มขู่ (threats) การให้สัญญา (promises)
การเสนอและการขอร้อง
(offers and requests) ดังนี้
4.1 future simple
tense ที่ใช้กับการตัดสินใจ โดยปกติแล้วจะใช้ will เป็นตัวกำหนด
(shall ไม่ค่อยถูกนำมาใช้ในรูป future ที่ใช้ในการตัดสินใจยกเว้นใช้ในประโยคคำถาม)
เช่น
The phone is ringing.
I will answer it.
โทรศัพท์กำลังดัง / ผมจะรับโทรศัพท์
โทรศัพท์กำลังดัง / ผมจะรับโทรศัพท์
4.2
ใช้
future simple tense กับการเสนอและขอร้อง (offers and requests) เช่น
Will you
give me that camera?
ช่วยเอากล้องตัวนั้นให้ผมได้ไหม
ช่วยเอากล้องตัวนั้นให้ผมได้ไหม
5) ใช้ future
simple tense กับเหตุการณ์ที่คาดว่าจะเกิดเป็นปกติหรือ จะเกิดเป็นประจำในอนาคต เช่น
Summer will come
again.
ฤดูร้อนจะมาเยือนอีกครั้งแล้ว (ฤดูร้อนจะเวียนมาทุกปีแน่นอน)
ฤดูร้อนจะมาเยือนอีกครั้งแล้ว (ฤดูร้อนจะเวียนมาทุกปีแน่นอน)
Future Continuous Tense เป็น Tense
ที่บ่งถึงเหตุการณ์ที่จะเกิดในช่วงเวลาที่แน่นอนในอนาคต
โดยโครงสร้างจะมี verb to be (be) มาช่วยและ verb แท้จะอยู่ในรูป
-ing ดังนี้
โครงสร้าง: S
+ will / shall + be + V.ing
John will be
taking a nap in the afternoon.
จอห์นจะนอนพักสักงีบในช่วงบ่าย
จอห์นจะนอนพักสักงีบในช่วงบ่าย
การใช้ Future
Continuous Tense
1) ใช้ future continuous tense เพื่อบอกว่าการกระทำอย่างหนึ่งจะเกิดและดำเนินต่อเนื่องไปในเวลาเฉพาะช่วงใดช่วงหนึ่งในอนาคต
ซึ่งมักจะมีเวลาระบุไว้ในประโยค เช่น
This time tomorrow I
will be class.
เวลานี้ในพรุ่งนี้ผมคงจะสอนหนังสืออยู่ในห้องเรียน
เวลานี้ในพรุ่งนี้ผมคงจะสอนหนังสืออยู่ในห้องเรียน
2) ใช้ future
continuous tense กับเหตุการณ์ที่ผู้พูดมั่นใจว่าจะเกิดขึ้นเพราะมีการนัดหมายไว้แล้ว
หรือสิ่งนั้นๆ ได้มีการตัดสินใจไว้ล่วงหน้าแล้ว เช่น
I will be
staying here till Sunday.
ผมจะพักอยู่ที่นี้จนถึงวันอาทิตย์หน้า
ผมจะพักอยู่ที่นี้จนถึงวันอาทิตย์หน้า
3) ใช้ future
continuous tense เป็นวิธีการถามที่สุภาพ เกี่ยวกับแผนงานของคนอื่น ที่ใช้ future
continuous tense ถามก็เพื่อบอกถึงสิ่งที่ผู้พูดได้ตัดสินใจแล้ว
แต่ไม่ต้องการให้คำถามนั้น กดดันหรือมีอิทธิพลต่อผู้ถูกถาม เช่น
Will you be joining us
tomorrow?
พรุ่งนี้คุณจะมาร่วมสังสรรค์กับพวกเราไหม
พรุ่งนี้คุณจะมาร่วมสังสรรค์กับพวกเราไหม
Future Perfect Tense โดยปกติแล้วจะถูกนำมาใช้เพื่อบอกว่าเหตุการณ์จะจบสมบูรณ์ในช่วงเวลาที่แน่นอนในอนาคต
โดยแท้จริงแล้วเป็นการยากที่จะนำ tense นี้มาใช้
แต่แม้จะมีโอกาสนำมาใช้ได้น้อยก็ใช่ว่าจะตัดทิ้งได้ เพราะยังมีใช้ให้เห็นอยู่โดย future
perfect จะมี will / shall และ have อยู่ในประโยคเสมอ ดังนี้
โครงสร้าง: S + will / shall + have + V.3
I shall
have finished this job before this after noon.
ผมจะทำงานชิ้นนี้เสร็จสมบูรณ์ก่อนเวลาเที่ยง
ผมจะทำงานชิ้นนี้เสร็จสมบูรณ์ก่อนเวลาเที่ยง
การใช้ Future
Perfect Tense
1) ใช้ future perfect tense กับเหตุการณ์ที่คาดว่าจะสำเร็จบริบูรณ์ในอนาคต
ตามช่วงเวลาที่กำหนดไว้ โดยมากจะมี By + เวลา เป็นที่ให้สังเกต
หรืออาจจะมีช่วงดวลาที่แน่นอน ให้เป็นที่สังเกตในประโยค เช่น
The bus will arrive
Bangkok by 8 o’clock tonight.
รถประจำทางจะมาถึงกรุงเทพฯ ในเวลา 8 โมงเย็นนี้
รถประจำทางจะมาถึงกรุงเทพฯ ในเวลา 8 โมงเย็นนี้
2) ใช้ future perfect tense กับเหตุการณ์ 2 เหตุการณ์ที่จะเกิดไม่พร้อมกันในอนาคต
โดยเหตุการณ์ที่เกิดก่อนให้ใช้ future perfect (s +will / shall + have +
V.3) ส่วนเหตุการณ์ที่จะเกิดทีหลังใช้ present simple (s + V.1) เช่น
I shall have
finished my report when the bell rings.
ผมจะทำรายงานเสร็จเมื่อระฆังดัง
ผมจะทำรายงานเสร็จเมื่อระฆังดัง
โดยทั่วไปแล้ว future perfect continuous tense ใช้คล้ายๆ กับ
future perfect tense โดยบางครั้งสามารถนำเอา future continuous tense มาใช้แทนกันได้
เพราะเป็นการเน้นความต่อเนื่องที่จะเกิดในอนาคตเหมือนกัน
โครงสร้าง: S
+ will / shall + have + been + V.ing
การใช้ Future
Perfect Continuous Tense
1) ใช้ future perfect continuous tense กับเหตุการณ์หรือการกระทำที่จะเกิดและดำเนินต่อเนื่องกันไปในอนาคต
(ใช้คล้ายกับ future perfect tense แต่เน้นที่ความต่อเนื่องกัน)
By
next March I will have been teaching in this university for three years.
ในเดือนมีนาคมหน้าผมจะสอนที่มหาวิทยาลัยนี้ครบ 3 ปีพอดี
ในเดือนมีนาคมหน้าผมจะสอนที่มหาวิทยาลัยนี้ครบ 3 ปีพอดี
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น